สถานการณ์ในจีน-สหรัฐ ตัวบ่งชี้ภาวะ ‘เศรษฐกิจโลก’

13 สิงหาคม 2568
สถานการณ์ในจีน-สหรัฐ ตัวบ่งชี้ภาวะ ‘เศรษฐกิจโลก’
ภาวะเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ เต็มไปด้วยสัญญาณเตือนว่า กำลังย่างเข้าสู่สภาพเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่อีกครั้ง 5 ปี หลังจากที่ทรุดลงอย่างหนักแบบช่วยไม่ได้อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คราวนี้ อาจยิ่งหนักหนาสาหัสมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจัยสำคัญไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เกิดจากการกำหนดใช้นโยบายที่เลวร้ายล้วน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายสงครามการค้าของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา

ที่สหรัฐอเมริกา สถิติการจ้างงานล่าสุดประจำเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาทรุดตัวลงอย่างรุนแรง เลวร้ายถึงระดับที่ลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของอัตราการจ้างงานในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์บางคนชี้ว่า สภาพการขยายตัวของการจ้างงานที่ทรุดลงอย่างรุนแรง คือเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากำลังชะลอลงอย่างรุนแรงมากกว่าที่มาตรวัดทั่ว ๆ ไป แสดงออกมาให้เห็น
โกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า ในช่วง 2 ไตรมาสหลังสุด เศรษฐกิจอเมริกันขยายตัวเพียงแค่ 1% สาเหตุสำคัญเป็นเพราะการชะลอตัวในการใช้จ่ายเพื่อบริโภค และการชะลอลงอย่างรุนแรงของรายได้ที่แท้จริง ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในรายงานสภาพการจ้างงานนั่นเอง

ข้อมูลล่าสุดจากภาคบริการของสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่หลายคนเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือต้นทุนที่พุ่งขึ้นสูงอย่างพรวดพราด อันเนื่องมาจาก “สงครามการค้า” ผสมผสานกับภาวะชะงักงันในการจ้างงาน ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตกอยู่ในสภาวะ “สแตกเฟลชั่น” (Stagflation) คือสภาพเศรษฐกิจที่ผลผลิตชะงักงัน หรือลดต่ำลง ที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด

นั่นคือสถานการณ์ที่นักวิชาการเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และจะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก จนกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังทางเศรษฐกิจต่อไปอีกนานในอนาคต โชคดีที่สหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจโลกอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไป

คำถามก็คือ การขาดหายไปของเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอนแล้วใช่หรือไม่ เพราะในเวลาเดียวกันนี้ เครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญอีกตัวของโลกอย่าง “จีน” ก็แสดงให้เห็นถึงภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนอยู่เช่นเดียวกัน

นักวิชาการบางคนเชื่อว่า แม้ว่าจีน จะแสดงให้เห็นถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจของจีนก็ยังคงขยายตัวอยู่ดี การชะลอตัวในจีนจึงเป็นเพียงการแสดงถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นแบบฉบับของประเทศที่ตกอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางเท่านั้น และเชื่อว่าหากบริหารจัดการให้ดี ความต้องการการบริโภคของเศรษฐกิจจีน จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้อีกครั้งในอนาคต

ทางการจีน เคยประกาศปรับเปลี่ยนโมเดลทางเศรษฐกิจของประเทศไว้เมื่อกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เปลี่ยนจากพึ่งพาการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการลงทุนในการผลิตเพื่อการส่งออกที่ใช้อยู่แต่เดิม เป็นการพึ่งพาการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการบริโภคภายในประเทศเป็นสำคัญ เพราะแม้จะเป็นการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่า แต่ก็มั่นคงและยั่งยืนกว่านั่นเอง

หวัง เจียว นักวิชาการเชื้อสายจีนจากมหาวิทยาลัยซัสเซกส์ เชื่อว่า การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ด้วยการหันมามุ่งเน้นพึ่งพาการบริโภคภายในของจีน ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความจำเป็นทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นความจำเป็นเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสำหรับจีนด้วยอีกต่างหาก เธอชี้ว่า แม้จีนจะยังคงเอาตัวรอดได้จาก “สงครามการค้า” ในรูปของพิกัดอัตราภาษีศุลกากรของทรัมป์ มาได้จนถึงขณะนี้ แต่ถึงที่สุดแล้ว จีนก็ไม่อาจหาประเทศใดประเทศหนึ่ง ที่เป็นคู่ค้าได้ในระดับที่สหรัฐอเมริกาเคยเป็นอยู่ดี

ดัชนีชี้สภาวะเศรษฐกิจล่าสุดของจีนแสดงให้เห็นว่า การบริโภคภายในประเทศเริ่มมีอิทธิพลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนมากขึ้น กระนั้นการกระเตื้องขึ้นดังกล่าวนี้ยังคงชะลอช้าอยู่มาก ปัจจัยสำคัญเป็นเพราะยังเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะตระหนักได้ว่า นโยบายกระตุ้นแบบใดถึงเป็นไปได้มากที่สุดในการผลักดันให้ครัวเรือนในจีนเพิ่มการบริโภคมากขึ้น “หยาง เหยา” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แย้งว่า การผลักดันในเรื่องนี้ชะลอช้า เนื่องจากยังคงเกิดการวินิจฉัยผิดพลาด ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนยังคงลดลงต่อเนื่อง ผลก็คือความคาดหวังต่ออนาคตยังไม่มี การออมจึงยังกลายเป็นการเอาตัวรอดที่ดีที่สุด และยังคงเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคก็ยังต่ำอยู่เช่นนั้น

หยาง เหยา ระบุว่า ทางการจีนมักมองข้ามความสำคัญของปัญหาระดับวิกฤต 2 เรื่อง โดยเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริโภคของผู้บริโภคชาวจีน ทั้ง ๆ ที่ทั้ง 2 เรื่องคือ ตัวถ่วงสำคัญไม่ให้เศรษฐกิจจีนขยายตัว นั่นคือปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ กับปัญหาหนี้สินทางการเงินของรัฐบาลระดับมณฑลของจีนนั่นเอง

ทางการจีนประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มต้นจากบริษัท เอเวอร์แกรนด์ ในปี 2021 ลุกลามกลายเป็นวิกฤตทางการเงินได้ แต่นับตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ตกต่ำลงตามลำดับ ทางการต้องเข้าแทรกแซงขนานใหญ่เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลาม แต่หยาง เหยา เชื่อว่า วิกฤตครั้งนั้นยังคงส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการลงทุนในสินค้าคงทนและการบริโภค เพราะทำให้ผู้บริโภคชาวจีนลดการบริโภคลง เก็บเงินไว้กับตัวมากขึ้น

หยาง เหยา เชื่อว่า ผลกระทบจากสถานะทางการเงินของรัฐบาลระดับมณฑลยิ่งร้ายแรงมากกว่า เพราะยากที่จะวัดออกมาเป็นตัวเงินได้ เพราะการซุกงำและทำบัญชีอย่างคลุมเครือ เนื่องจากหวั่นเกรงการลงโทษ ส่งผลให้ยากที่จะรู้ขอบเขตและขนาดที่แท้จริง และไม่อาจแก้ปัญหาโดยอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้ได้

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเชื่อว่า หากทางการจีนยังคงเดินหน้า มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จ พลิกผันจนเกิดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เปลี่ยนการออมให้กลายเป็นการบริโภคได้สำเร็จ ผู้บริโภคชาวจีนก็ไม่เพียงแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติได้เท่านั้น ยังสามารถกลายเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ ในยามที่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอยได้อีกด้วย
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.